5 วิธีเลิกกินหวาน แบบไม่เครียด เพราะโรคติดหวานอันตรายกว่าที่คิด
5 วิธีเลิกกินหวาน แบบไม่เครียด เพราะโรคติดหวานอันตรายกว่าที่คิด
ไหนจะชานมไข่มุก น้ำอัดลม ขนมเค้ก บิงซู หรือแม้แต่ช็อกโกแลตนั้นต่างก็เป็นที่โปรดปรานของผู้หญิงทุกคน จะให้เลิกรับประทานของเหล่านี้โดยเด็ดขาดก็เป็นไปได้ยาก...
อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ 'น้ำตาล' อยู่เป็นจำนวนมากนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย เนื่องจากน้ำตาลที่มากเกินกว่าความจำเป็นของร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไขมันสะสม และเจ้าไขมันตัวร้ายนี่เองที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน รวมถึงยังทำให้ผิวของคุณแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรอีกด้วย
บางคนบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก จนร่างกายเสพติดความหวาน จะรับประทานอะไรก็ต้องเติมน้ำตาล และในที่สุดเขาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนที่เสพติดน้ำตาลโดยไม่รู้ตัว หรือที่เราเรียกกันว่า "โรคติดหวาน" นั่นเอง
ทำไมคนถึงชอบกินหวาน
เพราะเคยมีความเชื่อที่ว่า เมื่อไรที่เครียด เพลีย หรือเหนื่อยล้า ร่างกายจะต้องการน้ำตาลเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้น สาวๆ ทีมงานของ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ เองก็เช่นกัน วันใดที่ไม่ได้ดื่มชานมไข่มุก หรือรับประทานของหวานก็แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้กันเลยทีเดียว เผลอๆ...ยังรู้สึกห่อเหี่ยวจนพาลไม่อยากจะทำงานเสียอย่างนั้น
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนติดหวานหรือไม่?
เรื่องนี้ดูกันง่ายๆ ให้คุณลองเช็กร่างกายตัวเองว่าโหยหาของหวานอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ เวลาไปกินก๋วยเตี๋ยวก็มักจะเติมน้ำตาลทุกครั้งหรือเปล่า ไปจนถึงถ้าไม่ได้รับประทานของหวานก็จะรู้สึกหงุดหงิด อยู่ไม่สุข ถ้าตรงตามนี้...แปลว่าคุณเข้าข่ายที่จะเป็นโรคติดหวานแล้วค่ะ
วิธีแก้โรคติดหวานแบบไม่เครียด
1. ให้เริ่มที่ทำใจให้สบาย เพราะเราจะไม่เลิกแบบหักดิบ แต่จะเป็นการค่อยๆ ลดปริมาณน้ำตาลที่รับประทานในแต่ละวันลงให้น้อยกว่าเดิม
2. เลิกกินของหวานหลังอาหารทุกมื้อ ลองลดของหวานในมื้อเย็นและบริโภคของหวานในเวลากลางวันแทน หรือถ้าหลังอาหารเย็นมีความอยากของหวานจริงๆ ให้เปลี่ยนเป็นผลไม้ อาทิ แอปเปิ้ล ส้ม สาลี่ สับปะรด หรือแตงโมที่มีน้ำเยอะจะได้ชื่นใจ
3. เปลี่ยนจากการรับประทานน้ำหวานเป็นน้ำเปล่า หรือถ้าไม่ไหวจริงๆให้เลือกน้ำผลไม้คั้นสด หรือน้ำผลไม้ปั่นแบบไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม เพราะในผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนเวลาบ่ายๆ คุณสามารถดื่มชาใส่นม หรือโยเกิร์ตพร้อมดื่มแบบปราศจากน้ำตาลก็ได้
4. เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ โดยเฉพาะผักใบเขียวผลไม้สด รวมถึงรับประทานธัญพืชต่างๆ เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้คุณอิ่มมากขึ้น ลดความหิวระหว่างวันได้ดี
5. หักอกหักใจ หักห้ามใจในการเติมน้ำตาลลงไปในอาหารทุกอย่างที่คุณรับประทาน หากช่วงแรกยังทำไม่ได้ เราขอแนะนำให้คุณค่อยๆ ลดปริมาณลงครึ่งนึงก่อน พอเริ่มคุ้นชินก็ลดลงเรื่อยๆ อ๋อ...เวลาเราไปช็อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็ควรอ่านฉลากก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหาร เลือกที่น้ำตาลน้อยๆ เอาไว้ก่อนจะดีกว่า
5 วิธีง่ายๆ เพียงเท่านี้เราก็ไม่ต้องเสี่ยงกับโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจอีกต่อไปแล้ว ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ สนับสนุนให้คุณผู้หญิงทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงไปด้วยกันจ้า...
ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.thairath.co.th/
ไหนจะชานมไข่มุก น้ำอัดลม ขนมเค้ก บิงซู หรือแม้แต่ช็อกโกแลตนั้นต่างก็เป็นที่โปรดปรานของผู้หญิงทุกคน จะให้เลิกรับประทานของเหล่านี้โดยเด็ดขาดก็เป็นไปได้ยาก...
อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าการรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของ 'น้ำตาล' อยู่เป็นจำนวนมากนั้นไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย เนื่องจากน้ำตาลที่มากเกินกว่าความจำเป็นของร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไขมันสะสม และเจ้าไขมันตัวร้ายนี่เองที่จะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน รวมถึงยังทำให้ผิวของคุณแห้งเหี่ยวก่อนวัยอันควรอีกด้วย
บางคนบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก จนร่างกายเสพติดความหวาน จะรับประทานอะไรก็ต้องเติมน้ำตาล และในที่สุดเขาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นคนที่เสพติดน้ำตาลโดยไม่รู้ตัว หรือที่เราเรียกกันว่า "โรคติดหวาน" นั่นเอง
ทำไมคนถึงชอบกินหวาน
เพราะเคยมีความเชื่อที่ว่า เมื่อไรที่เครียด เพลีย หรือเหนื่อยล้า ร่างกายจะต้องการน้ำตาลเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้น สาวๆ ทีมงานของ ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ เองก็เช่นกัน วันใดที่ไม่ได้ดื่มชานมไข่มุก หรือรับประทานของหวานก็แทบจะนั่งไม่ติดเก้าอี้กันเลยทีเดียว เผลอๆ...ยังรู้สึกห่อเหี่ยวจนพาลไม่อยากจะทำงานเสียอย่างนั้น
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนติดหวานหรือไม่?
เรื่องนี้ดูกันง่ายๆ ให้คุณลองเช็กร่างกายตัวเองว่าโหยหาของหวานอยู่ตลอดเวลาหรือไม่ เวลาไปกินก๋วยเตี๋ยวก็มักจะเติมน้ำตาลทุกครั้งหรือเปล่า ไปจนถึงถ้าไม่ได้รับประทานของหวานก็จะรู้สึกหงุดหงิด อยู่ไม่สุข ถ้าตรงตามนี้...แปลว่าคุณเข้าข่ายที่จะเป็นโรคติดหวานแล้วค่ะ
วิธีแก้โรคติดหวานแบบไม่เครียด
1. ให้เริ่มที่ทำใจให้สบาย เพราะเราจะไม่เลิกแบบหักดิบ แต่จะเป็นการค่อยๆ ลดปริมาณน้ำตาลที่รับประทานในแต่ละวันลงให้น้อยกว่าเดิม
2. เลิกกินของหวานหลังอาหารทุกมื้อ ลองลดของหวานในมื้อเย็นและบริโภคของหวานในเวลากลางวันแทน หรือถ้าหลังอาหารเย็นมีความอยากของหวานจริงๆ ให้เปลี่ยนเป็นผลไม้ อาทิ แอปเปิ้ล ส้ม สาลี่ สับปะรด หรือแตงโมที่มีน้ำเยอะจะได้ชื่นใจ
3. เปลี่ยนจากการรับประทานน้ำหวานเป็นน้ำเปล่า หรือถ้าไม่ไหวจริงๆให้เลือกน้ำผลไม้คั้นสด หรือน้ำผลไม้ปั่นแบบไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม เพราะในผลไม้มีน้ำตาลธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนเวลาบ่ายๆ คุณสามารถดื่มชาใส่นม หรือโยเกิร์ตพร้อมดื่มแบบปราศจากน้ำตาลก็ได้
4. เลือกรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ โดยเฉพาะผักใบเขียวผลไม้สด รวมถึงรับประทานธัญพืชต่างๆ เพราะไฟเบอร์จะช่วยให้คุณอิ่มมากขึ้น ลดความหิวระหว่างวันได้ดี
5. หักอกหักใจ หักห้ามใจในการเติมน้ำตาลลงไปในอาหารทุกอย่างที่คุณรับประทาน หากช่วงแรกยังทำไม่ได้ เราขอแนะนำให้คุณค่อยๆ ลดปริมาณลงครึ่งนึงก่อน พอเริ่มคุ้นชินก็ลดลงเรื่อยๆ อ๋อ...เวลาเราไปช็อปปิ้งที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็ควรอ่านฉลากก่อนการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหาร เลือกที่น้ำตาลน้อยๆ เอาไว้ก่อนจะดีกว่า
5 วิธีง่ายๆ เพียงเท่านี้เราก็ไม่ต้องเสี่ยงกับโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจอีกต่อไปแล้ว ไลฟ์สไตล์ไทยรัฐ สนับสนุนให้คุณผู้หญิงทุกคนมีสุขภาพแข็งแรงไปด้วยกันจ้า...
ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.thairath.co.th/
Comments
Post a Comment